ศาลอุทธรณ์ภาค 3
ประวัติความเป็นมา
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ร.ศ. 110 (พ.ศ.2434) ได้มีการประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นและได้ รวมศาลทั้งหมดให้สังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยยกศาลฎีกาไปเป็นศาลอุทธรณ์คดีหลวง และให้ศาลอุทธรณ์มหาดไทยเป็นศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ เมื่อมีพระราชบัญญัติจัดการศาลในสนามสถิตย์ยุติธรรม ลงวันที่ 31 มีนาคม ร.ศ.111 ให้ยกเลิกศาลอุทธรณ์คดีหลวง คงเหลือแต่ศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์เพียงศาลเดียว เรียกว่าศาลอุทธรณ์ ในปี ร.ศ. 115 ได้มีการตราพระราชบัญญัติตั้งข้าหลวงพิเศษขึ้น และมีการประกาศให้คู่ความอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลหัวเมืองต่อข้าหลวงพิเศษแทนศาลอุทธรณ์ เรียกชื่อว่า ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษ ทำให้ศาลอุทธรณ์กลับมามี 2 ศาลอีก จนถึงปี พ.ศ.2469 จึงมีประกาศให้รวมศาลทั้งสองศาลเป็นศาลเดียว เรียกว่า ศาลอุทธรณ์กรุงเทพ มีอำนาจพิจารณาคดีอุทธรณ์ทั่วราชอาณาจักร ต่อมาเมื่อตราพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ.2477 ซึ่งกำหนดให้ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
ต่อมามีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ.2532 และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้งเขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ.2532 มีผลบังคับใช้ ศาลอุทธรณ์จึงได้แบ่งเป็น 4 ศาล คือ ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งได้เปิดทำการเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2533 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณศาลแขวงพระนครใต้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีเขตอำนาจใน 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ยะลา ระนอง สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ย้ายที่ทำการมาอยู่ ณ ที่ทำการชั้นที่ 13 อาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร โดยเปิดทำการเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 จนกระทั่งในปี พ.ศ.2536 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของ ศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2536 เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 11 ตอนที่ 101 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2536 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2536 เป็นต้นไป โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีเขตศาลเพิ่มขึ้นอีก 8 จังหวัด คือ จังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี
ในปี 2540 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2540 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2540 เป็นต้นไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเขตศาลอุทธรณ์นี้ กำหนดให้มีศาลอุทธรณ์กลางและศาลอุทธรณ์ภาค อีกจำนวน 9 ภาค โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปัจจุบันมีเขตศาลใน 8 จังหวัด ดังนี้ คือ
1. จังหวัดนครราชสีมา | 5. จังหวัดศรีสะเกษ |
2. จังหวัดชัยภูมิ | 6. จังหวัดอุบลราชธานี |
3. จังหวัดบุรีรัมย์ | 7. จังหวัดยโสธร |
4. จังหวัดสุรินทร์ | 8. จังหวัดอำนาจเจริญ |
ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์มาจากศาลชั้นต้นครอบคลุมพื้นที่ภาค 3 รวม 28 ศาล ประกอบด้วย
1. ศาลจังหวัดนครราชสีมา | 15. ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ |
2. ศาลจังหวัดชัยภูมิ | 16. ศาลจังหวัดเดชอุดม |
3. ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ | 17. ศาลแขวงนครราชสีมา |
4. ศาลจังหวัดสุรินทร์ | 18. ศาลแขวงนครราชสีมา (พิมาย) |
5. ศาลจังหวัดศรีสะเกษ | 19. ศาลแขวงสุรินทร์ |
6. ศาลจังหวัดอุบลราชธานี | 20. ศาลแขวงอุบลราชธานี |
7. ศาลจังหวัดยโสธร | 21. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา |
8. ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ | 22. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานี |
9. ศาลจังหวัดภูเขียว | 23. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ |
10.ศาลจังหวัดบัวใหญ่ | 24. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดบุรีรัมย์ |
11.ศาลจังหวัดสีคิ้ว | 25. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ |
12.ศาลจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง) | 26. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดศรีสะเกษ |
13.ศาลจังหวัดนางรอง | 27. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอำนาจเจริญ |
14.ศาลจังหวัดรัตนบุรี | 28. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดยโสธร |
ต่อมาได้มีกฎหมายแยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรมและมีการปรับโครงสร้างศาลยุติธรรม 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พระราชบัญญัติข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117 ตอนที่ 44 ก ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 และมีผลใช้บังคับวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวทำให้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อตำแหน่ง ผู้บริหารงานศาลอุทธรณ์ จากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค... รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค... เป็นประธานศาลอุทธรณ์หรือประธานศาลอุทธรณ์ภาค... รองประธานศาลอุทธรณ์ หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 3
ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกา กำหนดจำนวน ที่ตั้งเขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2556 กำหนดให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย้ายที่ทำการจากกรุงเทพมหานคร มาตั้งอยู่ ณ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2556 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการกระจายที่ตั้งของศาลอุทธรณ์ภาคไปยังส่วนภูมิภาค อันเป็นการอำนวยความสะดวกและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาคได้อย่างทั่วถึง
ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์มาจากศาลชั้นต้นครอบคลุมพื้นที่ภาค 3 รวม 28 ศาล ประกอบด้วย
1. ศาลจังหวัดนครราชสีมา | 15. ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ |
2. ศาลจังหวัดชัยภูมิ | 16. ศาลจังหวัดเดชอุดม |
3. ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ | 17. ศาลแขวงนครราชสีมา |
4. ศาลจังหวัดสุรินทร์ | 18. ศาลแขวงนครราชสีมา (พิมาย) |
5. ศาลจังหวัดศรีสะเกษ | 19. ศาลแขวงสุรินทร์ |
6. ศาลจังหวัดอุบลราชธานี | 20. ศาลแขวงอุบลราชธานี |
7. ศาลจังหวัดยโสธร | 21. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา |
8. ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ | 22. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานี |
9. ศาลจังหวัดภูเขียว | 23. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ |
10.ศาลจังหวัดบัวใหญ่ | 24. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดบุรีรัมย์ |
11.ศาลจังหวัดสีคิ้ว | 25. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ |
12.ศาลจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง) | 26. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดศรีสะเกษ |
13.ศาลจังหวัดนางรอง | 27. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอำนาจเจริญ |
14.ศาลจังหวัดรัตนบุรี | 28. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดยโสธร |
ต่อมาได้มีกฎหมายแยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรมและมีการปรับโครงสร้างศาลยุติธรรม 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พระราชบัญญัติข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117 ตอนที่ 44 ก ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 และมีผลใช้บังคับวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวทำให้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อตำแหน่ง ผู้บริหารงานศาลอุทธรณ์ จากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค... รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค... เป็นประธานศาลอุทธรณ์หรือประธานศาลอุทธรณ์ภาค... รองประธานศาลอุทธรณ์ หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 3
ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกา กำหนดจำนวน ที่ตั้งเขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2556 กำหนดให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย้ายที่ทำการจากกรุงเทพมหานคร มาตั้งอยู่ ณ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2556 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการกระจายที่ตั้งของศาลอุทธรณ์ภาคไปยังส่วนภูมิภาค อันเป็นการอำนวยความสะดวกและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาคได้อย่างทั่วถึง
อำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 22 บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นตามกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ และว่าด้วยเขตอำนาจศาล และมีอำนาจดังต่อไปนี้
1. พิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
2. วินิจฉัยชี้ขาดคำร้อง คำขอที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามกฎหมาย
3. วินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจวินิจฉัยได้ตามกฎหมายอื่น
นอกจากนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมาย